วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สถานที่สำคัญ สวิตเซอร์แลนด์

10 สถานที่ ควรไปสัมผัสในสวิตเซอร์แลนด์



10 สถานที่ ควรไปในสวิตเซอร์แลนด์

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์(Switzerland)เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามและเงียบสงบไม่แพ้ที่ไหนๆในโลกจึงเป็นประเทศที่ใครหลายๆคนฝันอยากจะไปท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสกับความงามของที่นี่ด้วยตาของตัวเองสักครั้งอย่างไรก็ตามหากคุณเป็นอีกคนที่สนใจอยากจะไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ที่ไหนบ้างดีวันนี้เรามีข้อแนะนำดีๆเกี่ยวกับสถานที่ที่คุณควรไปเยือนมาฝากค่ะ

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

1.ชมงานศิลป์ที่เมือง Basel เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่รวบรวมงานศิลปะสวยๆเอาไว้ด้วยกันโดยเฉพาะที่ Fondation Beyeler ที่รวบรวมภาพเขียนของศิลปินชื่อดังตั้งแต่ใอดีตหลายคนยกตัวอย่างเช่น Bacons,MonetsและPicassosนอกจากนี้ในเมืองBaselยังมี Kunstmuseumซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ที่รวบรวมงานศิลป์สวยๆทั้งแนวย้อนยุคและแบบร่วมสมัยอีกเอาไว้อีกด้วยเรียกได้ว่าผู้ที่รักศิลปะนั้นไม่ควรพลาดเด็ดขาด

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

2.สัมผัสวิวแม่น้ำสวยๆได้ที่นี่ สมัยนี้การจะมองหาทิวทัศน์ของแม่น้ำลำธารสวยๆใสสะอาดเหมือนสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ยากเต็มที เพราะคนไม่รู้จักรักษาสิ่งแวดล้อมขยันทิ้งขยะลงแม่น้ำกันเป็นประจำ แถมยังได้รับมลพิษจากของเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆอีกด้วยแต่ไม่ใช่กับประเทศนี้เพราะมีการรักษาความสะอาดกันเป็นอย่างดี ทำให้น้ำในแม่น้ำที่นี่ยังคงใสสะอาด และยังมีแม่น้ำจำนวนมากกว่า10 สายให้เราได้เลือกพักผ่อนหย่อนใจริมแม่น้ำได้ตามใจชอบ เช่น แม่น้ำอาเร, แม่น้ำโปและแม่น้ำไรน์ซึ่งมีความยาวมากที่สุดในประเทศ ด้วยความยาวถึง 375 กิโลเมตร

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

3.แวะเล่นสกีที่ Zermatt เมืองเล็กๆที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างเมือง Zermatt นั้น มีจุดเด่นอยู่ที่ภูเขา Matterhornที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมวิวที่ยอดเขาและเล่นสกีกันที่นี่ทำให้โรงแรมในแถบนั้นมีแขกพักเต็มอยู่เสมอจนบางครั้งก็ถึงกับต้องจองกันล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียวเพราะฉะนั้นถ้าใครวางแผนจะไปเที่ยวที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ล่ะก็อย่าลืมเพิ่มทริปเล่นสกีที่ Zermatt เข้าไปในโปรแกรมของคุณด้วย

สวิตเซอร์แลนด์

4.สิ่งก่อสร้างก็โดดเด่นไม่แพ้ที่ไหนๆสถาปัตยกรรมของที่นี่ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้สิ่งแวดล้อมจากธรรมชาติรอบข้างเพราะสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อในเรื่องสิ่งก่อสร้างสวยงามค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นแบบย้อนยุคคลาสสิกที่พบได้ในแถบชานเมืองหรือแบบโมเดิร์นสมัยใหม่เก๋ๆที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศแห่งนี้ เพราะฉะนั้นหากมีเวลาก็อย่าลืมลองเดินท่องเที่ยว เพื่อสำรวจและซึมซับสถาปัตยกรรมที่งดงาม เป็นเอกลักษณ์สวิตเซอร์แลนด์กันนะ

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

5.แหล่งรวมสปาชั้นยอด สำหรับใครที่ต้องการจะผ่อนคลายความเมื่อยล้าหรือบำรุงผิวสวยๆของตัวเองสปาของที่นี่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอนเพราะประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องการทำสปากันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วที่นี่จึงมีสปาชั้นดีให้คุณเลือกใช้บริการได้มากมายแถมยังมีหลากหลายแบบให้เลือกไม่ว่าจะเป็น การนวดตัวหรือสปาช็อกโกแลต ที่ให้คุณได้เข้าไปอาบน้ำบำรุงผิวในบ่อช็อกโกแลตซะด้วย

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

6.Helvetia เมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังมองหาที่พักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและสามารถเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ Helvetiaจะเป็นอีกเมืองที่คุณไม่ควรพลาดเพราะที่นั่นเป็นเมื่องที่เงียบสงบไม่พลุกพล่าน และยังมีธรรมชาติสวยงามให้ชมอีกด้วย โดยเฉพาะที่สวน Botanical Garden ในเกาะใจกลางแม่น้ำ Maggiore ซึ่งรวบรวมดอกไม้นานาพันธุ์ไว้ด้วยกันเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติได้เข้าชม

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

7.พักผ่อนริมน้ำตก Trummelbach falls เป็นชื่อของน้ำตกธรรมชาติ 10 สาย อันสวยงามที่ไหลลงท่ามกลางหุบเขา ด้วยความสูงถึง 140 เมตร รับรองได้ว่าใครที่มีโอกาสได้ไปดู จะต้องประทับใจในความงดงามของมันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ หากคุณต้องการจะสัมผัสความงามของน้ำตกนี้อย่างใกล้ชิดก็สามารถจ่ายเงินเพื่อเข้าชมน้ำตกภายในตัวภูเขาได้ ด้วยราคาเพียงแค่ 10 เหรียญเท่านั้น

8.ใกล้ชิดสัตว์ที่ Swiss National Park ที่นี่เป็น National Park แห่งเดียวของประเทศสวิตเซอรแลนด์ซึ่งให้สัตว์ได้อยู่กันตามธรรมชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ห่างๆ และเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ โดยสวนแห่งนี้มีขนาดใหญ่ถึง172.3 ตารางกิโลเมตร ส่วนสัตว์ที่สามารถพบได้ที่นี่ ได้แก่ นกอินทรีทอง นกแร้งเครา แพะภูเขา ตัวมาเมิต เลียงผา และกวางเอลค์

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

9.อิ่มอร่อยที่ Piz Gloria เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนยอดเขา Schilthorn จึงเป็นแหล่งที่ผู้คนนิยมมาชมวิวของภูเขากันจากที่นี่ นอกจากนี้ ร้านนี้ยังเคยเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง James Bond ภาค On Her Majesty's Secret Service มาก่อน จึงทำให้มีของที่ระลึกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ขายเป็นจำนวนมากแถมยังมีบาร์ชื่อ James Bond อยู่ภายในร้านอีกด้วยส่วนอาหารจานเด็ดของที่นี่ ได้แก่ มันฝรั่งทอดแบบสวิส ชีสฟองดู และ สปาเก็ตตี้เจมส์ บอนด์

10.แดนสวรรค์ของคนรักช็อกโกแลต ช็อกโกแลตของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่แล้วไม่ควรพลาดลองช็อกโกแลตโฮมเมดตามร้านคาเฟ่ต่างๆเด็ดขาดนอกจากนี้คุณยังควรแวะชมพิพิธพัณฑ์ Museo Storico Di Blenio ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะต่างๆรวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับช็อกโกแลตตั้งแต่สัยโบราณเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องผลิต รูปภาพ และโฆษณาช็อคโกแลตในสมัยก่อนอีกด้วย

ที่มา : http://travel.kapook.com/view39748.html

สถานที่สำคัญ "ฝรั่งเศส"


10 สถานที่ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนปารีส


หอไอเฟล

1.การนั่งรถทัวร์ชมกรุง (Double Decker Bus Tour) การนั่งรถทัวร์ชมกรุงเป็นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวที่มาปารีสเป็นครั้งแรก เพราะที่นี่จะมีรถทัวร์ที่เรียกกันว่า L'Open ทัวร์ ซึ่งเป็นรถทัวร์ที่มีดาดฟ้าอยู่ข้างบน เพื่อให้คุณได้ชมเมืองปารีสอย่างไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋ววันเดียวหรือสองวันก็ได้ สำหรับการนั่งรถชมเมืองใน 4 เส้นทาง โดยทันทีที่คุณซื้อตั๋วแล้ว ทางรถทัวร์จะมีชุดหูฟังให้คุณ เพื่อใช้ในการเสียบต่อกับแจ็คที่อยู่บริเวณด้านข้างของเบาะที่นั่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถฟังบรรยายไปตลอดการเดินทาง โดยเลือกฟังได้ถึง 8 ภาษา คือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอิตาลี ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษารัวเซีย และภาษาจีน 



สำหรับเคล็ดลับในการนั่งรถทัวร์ชมกรุงปารีสนั้น แนะนำให้คุณลองใช้บริการในวันธรรมดาหรือเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์จะดีที่สุดเพราะหากใช้บริการในช่วงเวลาอื่นคนจะแน่นมากและคุณอาจจะได้ยืนในห้องยืนที่จัดไว้รองรับเวลาที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากนอกจากนี้หากคุณใช้บริการช่วงคนน้อยคุณสามารถที่จะเปลี่ยนแจ็กหูฟังของคุณได้ในกรณีที่ใช้หูฟังต่อกับแจ็กบางตัวไม่ได้อีกด้วย

หอไอเฟล

2.ชมทิวทัศน์จากด้านบนของหอไอเฟล (Eiffel Tower) หอไอเฟลไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสเท่านั้นหากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสด้วย ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ได้ไปเยือนหอไอเฟลถือว่าไปไม่ถึงฝรั่งเศสเลยทีเดียวทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวกว่า60 ล้านคนไปเยือนหอไอเฟลโดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมทัศนียภาพรอบกรุงปารีสได้เพียงแค่ซื้อบัตรที่บูธซึ่งอยู่บริเวณฐานของหอไอเฟลแล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่างๆของหอไอเฟล
และด้วยความที่หอไอเฟลมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก(โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน)แนะนำให้คุณไปเที่ยวชมช่วงเช้าหรือหลัง6โมงเย็นหรือในวันธรรมดาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน 


3.ล่องเรือในแม่น้ำเซนชมพระอาทิตย์ตกดิน(Sunset River Cruise on the Seine) การล่องเรือในยามใกล้ค่ำเป็นทางเลือกที่ดีมากหากคุณอยากจะชมทิวทัศน์ยามราตรีของกรุงปารีสโดยเรือจะล่องจากหอไอเฟลผ่านสถานที่ที่น่าสนใจสองฝั่งแม่น้ำเซนรวมถึงผ่านโบสถ์นอทเทอร์ดัมด้วยสำหรับเคล็ดลับของการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินนั้นแนะนำให้คุณไปก่อนเวลาขายตั๋วเพื่อที่จะได้เลือกที่นั่งหลังก่อนนักท่องเที่ยวคนอื่นซึ่งที่นั่งด้านหลังสุดนี้จะเป็นบริเวณที่ไม่มีหลังคาไม่ล้อมด้วยกระจกและบริเวณนี้คือจุดที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสวย ๆ ของเมืองปารีสยามพระอาทิตย์ตก

โบสถ์นอทเทอร์ดัม

4.โบสถ์นอทเทอร์ดัม(Notre Dame Cathedral) โบสถ์นอทเทอร์ดัมเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของกรุงปารีสเพราะเป็นสถานที่ที่อยู่คู่กับเมืองปารีสมาช้านานและมีชื่อเสียงด้านความใหญ่โตหรูหรามีสถาปัตยกรรมที่งดงามมากโดยการเที่ยวชมนั้นนักท่องเที่ยวจะได้เห็นความอลังการของโบสถ์นอทเทอร์ดัมอีกทั้งยังต้องขึ้นบันได387 ขั้นเพื่อไปถึงยอดของโบสถ์ ส่วนเคล็ดลับในการชมโบสถ์นอทเทอร์ดัมนั้นแนะนำให้คุณไปเยี่ยมชมช่วงเช้าเพราะดวงอาทิตย์จะส่องกระทบกับซุ้มประตูทางทิศตะวันตกของโบสถ์มองดูแล้วเหมือนเป็นประกายเพชรที่ระยิบระยับจับตาเพิ่มความหรูหราให้กับโบสถ์ได้เยอะเลยทีเดียว

โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์

โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์

5.โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ (Sainte Chapelle) ถัดจากโบสถ์นอทเทอร์ดัม มีโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ ซึ่งเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวปารีส สร้างในสไตล์กอธิคมีการประดัประดาด้วยกระจกสวยงามมากมาย จนนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมต่างยอมรับว่ากระจกที่ใช้ตกแต่งโบสถ์มีความงดงามที่สุดยิ่งเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามายิ่งทำให้มองเห็นลายกระจกชัดเจนและสวยงามมาก สำหรับคำแนะนำในการเยี่ยมชม ควรเยี่ยมชมช่วงเช้าดีที่สุดเพราะนักท่องเที่ยวไม่เยอะ หากไปช่วงอื่นต้องรอคิวเยี่ยมชมเพราะโบสถ์แซงต์ชาแปลล์เป็นโบสถ์ขนาดเล็กมาก

ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน

6.ถนนฌ็องเซลิเซ่และประตูชัยนโปเลียน (Champs Elysees & Arc de Triomphe) ถนนฌ็องเซลิเซ่ เป็นถนนที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีสนักท่องเที่ยวสามารถเดินตามถนนสายนี้ไปสู่ประตูชัยนโปเลียนซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีสและที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมชั้นบนของประตูชัยได้โดยเดินขั้นบันได 284 ขั้น หรือใช้ลิฟต์


7.เลแซงวาลิด (Les Invalides (Napoleon's Tomb)) เลแซงวาลิด เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ซึ่งมีศพนายพลพระสหายของพระเจ้านโปเลียนอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย ตัวอาคารมีโดมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโดมที่สวยงามที่สุดในกรุงปารีสนอกจากนี้ ยังมีศิลปะมากมายจัดแสดงอยู่ในนั้นอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์

8.พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Musee d'Orsay) พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะหลายอย่างเข้าด้วยกันอันได้แก่ ศิลปะด้านการออกแบบสิ่งทอ ศิลปะทางประวัติศาสตร์ ภาพถ่าย ประติมากรรม ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ของปารีสออกมาได้เด่นชัดเลยทีเดียว สำหรับเคล็ดลับในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ ควรใช้เวลามากหน่อยเพื่อศึกษาศิลปะต่างๆที่จัดแสดงอยู่ทั้ง3ชั้นของพิพิธภัณฑ์ และที่ไม่ควรพลาดคือร้านอาหารที่มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเซนได้อย่างเต็มๆตา



9.พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (The Louvre) เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดเก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังหลวงมาก่อนจัดแสดงศิลปะที่มีคุณค่าระดับโลกมากมาย เช่น ภาพเขียนโมนาลิซ่าผลงานของต่างๆ ของเลโอนาร์โด ดาวินซีแลอเล็กซานดรอส นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากที่สุดในกรุงปารีสดังนั้นคุณจึงไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้



10.มงต์มาร์ทร์ (Montmarte & Sacre Couer Basilica) มงต์มาร์ทร์เป็นหุบเขาสูง 130 เมตร ทางเหนือของปารีสและเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมืองบนเขาเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซาเครเกอร์สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศแด่ชาวฝรั่งเศสที่เสียชีวิตจากสงครามกับปรัสเซียออกแบบตามแบบศิลปะสไตล์โรมัน-ไบเซนไทน์ซึ่งมีความอลังการและงดงามมาก



ที่มา : http://travel.kapook.com/view11359.html

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกทั้ง 3ยุค (ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคโบราณ)



สุดยอด 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคโบราณ 


7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคใหม่


 Chichén ItzáMexico

1.เมืองโบราณซีเชนอิตซาของชนเผ่ามายาในเขตยูคาทานเม็กซิโก ชิเชนอิตซาตั้งอยู่ที่คาบสมุทรยูคาทานประเทศเม็กซิโกเป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเผ่ามายาตัววิหารที่สร้างถวายแด่เทพเจ้าของชนเผ่ามายาสร้างอยู่บนเนื้อที่กว่า6.4ตรารางกิโลเมตรมีลักษณะเป็นปีระมิดเป็นชั้นลดหลั่นลงมาและมีบันไดอยู่ตรงกลางบนยอดเป็นแท่นบูชาสำหรับทำพิธีกรรมสังเวยแด่เทพเจ้าชนเผ่ามายาได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีความป่าเถื่อนในการบูชายันมนุษย์แต่ก็ได้ชื่อว่ามีความเจริญทางภาษาและความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์โดยมีการสร้างปฏิทินมายาขึ้นโดยกำหนดให้1ปีมี18เดือนและแต่ละเดือนมี20วันดังนั้น1ปีของชาวมายาจึงมี360วันและมีการเพิ่มวันที่ไม่ขึ้นกับเดือนใดเข้าไปอีก5วันแม้จะมีความรู้ถึงเพียงนี้แต่พวกนี้กลับไม่ค้นพบการประดิษฐ์ล้อแต่อย่างใด


Christ Redeemer, Brazil

2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์หรือคริสต์รีดีมเมอร์บนยอดเขาในนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ตั้งอยู่บนยอดเขาโคคาวาดู(Cocarvado)กรุงริโอ เดอ จาเนโร(Rio de Janero)ประเทศบราซิลมีความสูงราว38เมตรสร้างในปีค.ศ.1921ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ดาซิลวากอสตา(Heitor da Silva Costa)ชาวบราซิลและสร้างโดยพอลลันดอฟสกี( Paul Landowski )ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ใช้เวลาในการสร้าง5 ปีโดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่12 ตุลาคม1926ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังฐานของรูปปั้นเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโรได้


The Great WallChina 

3.กำแพงเมืองจีน(ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)กำแพงเมืองจีนหรือ กำแพงหมื่นลี้สร้างในสมัยของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกลและพวกเติร์กและได้มีการสร้างกำแพงต่ออีก 4 ครั้งใหญ่ๆโดยส่วนใหญ่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิงแต่ก็ถูเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียบุกข้ามกำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ 
กำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างพรมแดนจีนกับธิเบตมีความสูงจากพื้นดิน20-30ฟุตกว้าง15-20ฟุตยาวประมาณ2,400 กิโลเมตร 
กำแพงก่อด้วยดินหินและอิฐโดยทุกๆ200เมตรจะมีหอตรวจการอยู่ และมีระฆังแขวนอยู่ทุกหอรวมไม่ตำกว่า20,000หอ ระหว่างการก่อสร้างมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคนและศพของผู้เสียชีวิตก็ถูกผังอยู่ในกำแพงนั่นเองกำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนส่วนที่เหลืออยู่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้นกำแพงเมืองจีนถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย


Machu PicchuPeru

4. เมืองโบราณมาชูปิกชูของชนเผ่าอินคาในเปรู มาชู พิคชู หรือนครสาบสูญแห่งอินคา(The Lost City of the Incas)เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขาในประเทศเปรู อยู่สูงจากระดับนำทะเลถึง 2,350 เมตร มาชู พิคชูสร้างโดยจักรวรรดิ์อินคาและถูกทิ้งร่างเมื่ออินคาพ่ายแพ้แก่ชาวสเปนจนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอเมริกันชื่อ ฮิราม บิงแฮม (Hiram Bingham) ในปีค.ศ. 1911


PetraJordan

5.เมืองโบราณเพตราในจอร์แดน นครเพตราเป็นนครที่แกะสลักลงบนหุบเขาใกล้ทะเลสาบเดดซี(Dead sea)และอ่าวอัคบา(Gulf of Aqaba)เมืองเพตราถูกสร้างโดยชาวบานาเทียน(Nabataeans)ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับซึ่งได้สกัดหน้าผาหินทรายให้เป็นบ้านเรือนสำหรับพักอาศัยและได้เปลี่ยนจากอาชีพเลี้ยงแกะมาเป็นพ่อค้าและรับคุ้มครองกองคาราวานทำให้เพตราเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่มีพ่อค้าชาวกรีกได้อธิบายถึงความมั่งคั่งของเพตราว่าเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของชาวอาหรับ เปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงคริสตศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 ( Aretas IV ) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องว่า ฟิโลเดมอส ( Philodemos ) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน เพตราเริ่มเสียอำนาจเมื่อมีเส้นทางการค้าที่สะดวกและปลอดภัยกว่าเกิดขึ้น จนกระทั่งปีค.ศ.106 เพตราถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรโรมันจนคริสตศตวรรษที่5 เพตรากลายเป็นที่ตั้งของมณฑลของบิชอบและถูกมุสลิมยึดครองในครสตศตวรรษที่7 และค่อยๆเสื่อมลงจนหายไปจากประวัติศาสตร์จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt) ในปีค.ศ. 1812 เพตราจึงได้ปรากฏโฉมต่อชาวโลกอีกครั้ง


The Roman Colloseum, Italy (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)

6.สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลีโคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในกรุงโรมสร้างในสมัยจักรพรรดิ์เวสปาเชียน(Emperor Vespasian)แห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไตตัส(Titus)ในคริสตศตวรรษที่1โคลอสเซียมมีลักษณะเป็นอัฒจันทร์รูปวงกลมก่อด้วยหินทรายและอิฐวัดโดยรอบประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุคนได้ประมาณ 80,000 คน มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจึงจะได้รับอิสระภาพหรือให้นักโทษสู้กับสิงโตที่หิวโซเนื่องจากถูกจับอดอาหารในแต่ละปีมีนักโทษและทาสตายไม่ต่ำกว่า 100 คน โคลอสเซียมถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางด้วย


The Taj MahalIndia

7.ทัชมาฮาลในเมืองอักราประเทศอินเดีย ทัชมาฮาลสร้างโดยจักรพรรดิ์ชาห์ เจฮัน (Emperor Shah Jahan) เพื่อเป็นอนุสรณืแห่งความรักแด่พระมเหสีมุมทัช มาฮาล(Mumtaz Mahal) ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างสร้างระหว่างค.ศ.1630-1648 ณสวนริมผั่งแม่นำยมนา เมืองอัครา ออกแบบโดยอุสตาด ไอสา (Ustad lsa)สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลืองจากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดดปะการัง และหอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียระไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ ทัชมาฮาลได้รับการรับรองจากสถาปิกทั่วโลกว่าสร้างได้ถูกสัดส่วนและงดงามที่สุดกว้างยาวด้านละ 100 เมตรตรงกลางมีโดมสูง60เมตร มีหอสูงมีโดมอยู่บนรอบทั้ง4มุมภายใต้โดมใหญ่มีโลงหินอ่อนประดับด้วยอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ แต่โลงพระศพจริงๆอยู่ในอุโมงค์ข้างใต้โลงหินนั้น เดิมชาห์ เจฮัน ตั้งพระทัยจะสร้างสุสานสำหรับพระองค์เองที่อีกฝั่งของแม่น้ำยมนาโดยสร้างให้เหมือนกับทัชมาฮาลแต่สร้างด้วยหินอ่อนสีดำแต่ถูกพระโอรสจับพระองค์ขังอยู่7 ปีจึงสิ้นพระชนม์และพระศพของพรองค์ถูกฝังอยู่เคียงข้างมิ่งมเหสีสุดที่รักนั่นเองส่วนอุสตาดไอสาสถาปนิกผู้ออกแบบก็ถูกชาห์เจฮันสั่งประหารเนื่องจากไม่ต้องการให้ออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆที่สวยกว่าทัชมาฮาลได้ทั้งนี้ สถานที่ทั้ง แห่งได้รับการคัดเลือกจากประชาชนทั่วโลกร่วม 100 ล้านคนเป็นผู้ร่วมโหวตในอินเตอร์เน็ตผ่านทางเว็บไซต์ www.new7wonders.com และผ่านระบบข้อความสั้น หรือเอสเอ็มเอสของโทรศัพท์ มือถือ อย่างไรก็ดีฝ่ายผู้จัดยอมรับว่าไม่ได้หาวิธีป้องกันการโหวตสนับสนุนสถานที่ที่ชื่นชอบมากกว่าหนึ่งครั้งของประชาชนไว้รองรับและอ้างว่ามีผู้ร่วมโหวตจากทุกประเทศในโลกกลุ่มสถานที่สำคัญที่ติดรายชื่อรอบสุดท้ายแต่ไม่ได้รับเลือก มีอาทิ ปราสาทหินนครวัดในกัมพูชา หอไอเฟลในฝรั่งเศสสโตนเฮนจ์ในอังกฤษและวัดคิโยมิสึวัดเก่าแก่ในญี่ปุ่น เป็นต้น

สำหรับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง 


Mosque of Hagia Sophia (Istanbul)

1.สุเหร่าเซนต์โซเฟียเมืองคอนสแตนดิโนเปิลประเทศตุรกี สถานที่ตั้งเมืองคอนสแตนดิโนเปิลประเทศตุรกีสุเหร่าเซนต์โซเฟีย (Saint Sophia)หรือโบสถ์ฮาเจียโซเฟียปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิมในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13ใช้เวลาสร้าง17 ปีเพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่างพวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามจนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียนมีอำนาจเหนือตุรกีจึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์20ปีตัวโบสถ์5ปีเมื่อประมาณปีพ.ศ.1996(ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหาสิ่งของมีค่าต่างๆมาประดับไว้มากมายสร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬารต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิมเมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่2มีอำนาจเหนือตุรกีและเป็นผู้นับถือศาสนา อิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลามแต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิมสุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตรและประดับไว้งดงาม108ต้น(ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้นชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น)มียอดเป็นโดม คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลมๆมากมายเนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์


The Roman Colloseum, Italy

2.สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี สถานที่ตั้งกรุงโรมประเทศอิตาลีหรือไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเองยิ่งถ้าต่อสู้กันจนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตายก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมากปีๆหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคนสนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณแต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลงก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหนในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม


The Great WallChina

3.กำแพงเมืองจีน
สถานที่ตั้งประเทศจีน
กำแพงเมืองจีนหรือกำแพงอิฐยักษ์เป็นกำแพงกั้นเมืองและกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีนเป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมาหาที่ใดในโลกมาเปรียบไม่ได้อีกแล้ว 
มีขนาดกว้างตั้งแต่4.5เมตร ถึง7.5เมตร(10 ฟุต)ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง8ได้อย่างสบายๆมีความสูงจากพื้นด้านล่างตั้งแต่8 เมตรถึง9เมตร(20-30ฟุต หนา15-25 ฟุต)
สูงพอที่จะไม่สามารถปีนข้ามไปได้ง่ายๆเดิมเชื่อว่ามีความยาว2,550 ไมล์(2,400 กิโลเมตร)บนกำแพงทุกๆระยะ 200เมตร(300 ฟุต)
จะมีหอหรือป้อมสำหรับตรวจเหตุการณ์มีป้อมมากกว่า15,000แห่งสร้างสูงขึ้นไปอีก3เมตรถึง6เมตรและมีระฆังแขวนเพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุไว้ประจำทุกหอ
รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า20,000หอเริ่มสร้างระหว่างปีพ.ศ.300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล)
ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ใช้เวลาสร้างประมาณ10ปีและมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้งใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศนับจำนวนล้านมีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่น
เป็นสิ่งก่อสร้างชนิดเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นเมื่อมองจากดวงจันทร์ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยมปัจจุบันไม่มีความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้ว
คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก





Porcelian Tower of Nanking

4.เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิงประเทศจีน
สถานที่ตั้งเมืองนานกิงประเทศจีน
เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิงเป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยมสูง9ชั้นสูง261ฟุตหลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวมีกระดิ่งแขวนไว้80ลูกและโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคายอดเจดีย์เป็นรูปกลมปิดทององค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด
เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง3ชั้น
ใน ค.ศ.1430จักรพรรดิ์ยุ่งโล้แห่งราชวงศ์เหม็งได้โปรดให้จัดสร้างเสริมขึ้นไปอีกจนสูง9ชั้นมีสายโซ่โยงลงมา8เส้น
มีกระดิ่งแขวนตามสายโซ่72ลูกเวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมากเพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกคุณบิดามารดาจักรพรรดิ์ยุ่งโล้ได้บรรจุเครื่องบูชาที่ทำ
ด้วยของมีค่าพวกเงินทองคำและอัญมณีอื่นๆจำนวนมากกล่าวกันว่าบนยอดเจดีย์มีลูกบอลปิดทองมีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง9วง
มีไข่มุก
เจดีย์นี้เคยถูกฟ้าผ่าและถูกพวกกบฎไต้เผ็งทำลายเมื่อปีพ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853)เสียหายมาก ต้องมีการซ่อมแซมเพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่
ได้อวดความงามอันน่ามหัศจรรย์ต่อไปส่วนของมีค่าภายในนั้นถูกปล้นสะดมสูญหายไปหมดแล้ว
ถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบวิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง



 Stonehenge

5.สโตนเฮนจ์ เมือง ซัลลิสเบอรี่ ประเทศอังกฤษ
สถานที่ตั้ง เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ประเทศอังกฤษ 
กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรีห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ10 ไมล์ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราวๆ 3 กิโลเมตร 
และมีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน
วงกลมรอบนอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว100 ฟุตมีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต 
วงในสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน 
มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง1,700 ปีเป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา
ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไรที่น่าแปลกก็คือในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้างไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่นๆ อีกเลย 


จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหนและไม่ปรากฏว่ามีการขนหรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้างบริเวณที่ดังกล่าว
ใช้อะไรยกหินก้อนที่หนักๆ หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง13 ฟุตนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งนัก




Catacombs of Alexandria Egypt

6.สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย(คาตาโคมป์)เมืองอเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์สถานที่ตั้ง เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สุสานแห่งอเล็กซานเดรียเป็นอุโมงค์ที่เก็บศพและทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณอุโมงค์ฝังศพนี้มีชื่อเรียกว่าคาตาโคมบ์(Catacombs)เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอนลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต)วกไปเวียนมาเป็นระยะทางหลายๆกิโลเมตรตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่องๆไว้สำหรับเป็นที่บรรจุศพ มีแท่นบูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้นพร้อมตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไว้บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่างวิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์


Leaning Tower of Pisa

7.หอเอนเมืองปิซาประเทศอิตาลีสถานที่ตั้ง เมืองปิซา ประเทศอิตาลี สำหรับ7สิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณนั้นถูกรวบรวมโดยกลุ่มนักปราชญ์ ชาวกรีก แต่เอกสารสูญหาย ต่อมา แอนติเปเตอร์ แห่งไซดอนนักเขียนชาวกรีกโบราณได้รวบรวมเอกสารใหม่หลงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบันเพียงแห่งเดียวคือพีระมิดแห่งกีซาในอียิปต์นอกนั้นถูกทำลายด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์

7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก ยุคโบราณ


1.The Great Pyramid of Giza ตำแหน่งที่ตั้งประเทศอียิปต์ตั้งอยู่ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ2-3 กิโลเมตร กลางทะเลทราย ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์
ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้
มหาพีระมิดของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ห่างไปทางตอนใต้ของ เมืองอะเล็กซานเดรีย ประมาณ 160 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 12 เอเคอร์ และมีอายุตั้งแต่สมัย 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้นซึ่งพีระมิดของกษัตริย์คูฟู สูงถึง 147 เมตรฐานกว้างด้านละ 230 เมตร ใช้หินก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน รวมใช้ก้อนหิน 2,300,000 ก้อน รวมน้ำหนักกว่า 6,000,000 ตัน มีการเตรียมการสร้างถึง 10 ปี ใช้แรงงานถึง 100,000 คน มาใช้แรงงานถึง 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิด ดังกล่าวให้จนลุล่วงพีระมิดแห่งเมืองกิซามี 3 องค์คือ พีระมิดซีเฟรน พีระมิดไมเซอนิรุส แลพีิระมิดคีออปส์ ซึ่งพีิระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด



2.The Hanging Gardens of Babylon ปัจจุบันทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้วรายละเอียดสวนลอยหรือ สวนสวรรค์แห่งเมืองบาบิโลนนี้กินเนื้อที่4เอเคอร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ.63 โดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย หลังจากการพิชิตปราบปรามเมืองใกล้เคียงมาอยู่ในอำนาจแล้วก็กวาดต้อนประชาชนพลเมืองมาใช้เป็นทาสให้สร้างสวนสวรรค์นี้ขึ้นบนทะเลทรายมีกำแพงดินกั้นล้อมรอบและประกอบด้วยลานกว้างๆ เป็นหลาย ๆ ส่วนบนพื้นที่โค้ง


3.The Statue of Zeus at Olympiaตำแหน่งที่ตั้งเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้วซุส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.53-111 ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า จูปีเตอร์ เป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวกรีกโบราณนับถือมากและเคารพสักการะบูชามาก เทวรูปซีอุสแกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากประกอบกันขึ้นมีขนาดสูง 58 ฟุต เป็นรูปเทพเจ้านั่งบนบัลลังก์สีทอง พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วนอาจพังทลายเพราะ แผ่นดินไหว ในศตวรรษที่ 6 แห่งคริสตกาล ต่อมาถูกขนย้ายไปยัง กรุงคอนสแตนติโนเปิล และสุดท้ายถูกไฟไหม้เสียายชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อนและจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์ ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้ 


4.The temple of Artemis at Ephesus ตำแหน่งที่ตั้งเมืองเอเฟซุส ประเทศกรีซ


ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้างไม่มีหลักฐานปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใดแต่ได้บูรณะซ่อมแซมในปี ค.ศ.186 เพราะถูกไฟไหม้ มหาวิหารเดียนา มีเนื้อที่กว้าง 54,720 ตารางฟุต ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้น ด้านหน้าด้านหลัง 8 ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุต สูง 60 ฟุต หลังคามุงกระเบื้องหินอ่อนเป็นวิหารที่สวยที่สุดในสมัยนั้น มหาวิหารเดียนาสร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมิสผู้เสด็จมาจากสวรรค์ได้ช่วยกู้ความหายนะของเมืองไว้ ได้ถึง 2 ครั้งถูกทำลายโดยพวกโกธ จากเยอรมัน ที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อ ค.ศ. 262


5.TheMausoleum of Maussollos at Halicarnassus ตำแหน่งที่ตั้งเมืองฮาลคาร์นาซซัส ประเทศตุรกี


ปัจจุบันยังมีซากหลงเหลือสุสานของกษัตริย์โมโซรุสหรือที่เก็บศพโมโซรุสเป็นสถานที่เก็บหรือโดยใช้ช่างออกแบบฟิดิอัสซาติรัสบรายอาซีส สโคปาส ทิโมทิอัส ที่มีชื่อเสียงฝีมือเยี่ยมในกรีซ มีความสูง 43 เมตรบนยอดมีรูปปั้นโมโซรุสประทับบนราชรถเทียมด้วยม้าทั้งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บศพพระราชสวามีของ


6.The Colossus of Rhodes ตำแหน่งที่ตั้งเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ
ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเทวรูปโคโลสซูสเป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกเคารพนับถือมากซึ่งกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดัส สร้างขึ้นเมื่อ280 ปี ก่อนคริสต์กาลเทวรูปนี้หล่อด้วยทองสำริดในท่ายืนสูง100 ฟุต มือขวาถือประทีปเทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าวองค์เทวรูปยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้เทวรูปโคโลสซูส หรือเทพเจ้าอพอลโป ประดิษฐานอยู่บนเกาะโรดส์ ประเทศกรีซและเมื่อ 224 ปี ก่อนคริสต์กาล เกิดแผ่นดินไหว เทวรูปจึงพลังลงมา ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่จนถึงคริสต์ศตวรรษที่10 ซากทองเหลืองที่เหลืออยู่จึงถูกขายให้แก่ชาวเมืองซาราเชนส์ไปทำอาวุธในการทำสงครามจนหมดปัจจุบันสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้ได้สูญสลายไปหมดแล้ว


7.The Lighthouse of Alexandria ตำแหน่งที่ตั้งเกาะฟาโรส เมืองอเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์ปัจจุบันไม่หลงเหลืออยู่แล้วกระโจมไฟฟาโรสหรือประภาคารฟาโรสอันยิ่งใหญ่นี้พระเจ้าปโตเลมีฟิลาเดลฟัส กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์เป็นผู้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรงดงามอยู่บนเกาะฟาโรสที่อ่าวหน้าเมืองอเล็กซานเดรียประมาณ271ปีก่อนคริสตกาลสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่สังเกตเห็นแก่หมู่เรือทั้งหลายที่ไปมาติดต่อค้าขายในการเข้าไปยังเมืองท่าซึ่งครั้งนั้นอียิปต์ เป็นประเทศที่เจริญในวิทยาการต่างๆ

ที่มา : http://board.postjung.com/534730.html